รรท.ผบช.ภ.7 แถลงผลกวาดล้างเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด 9 คน ได้ยาบ้า 291,984 เม็ด อาวุธปืน 14 กระบอก

รรท.ผบช.ภ.7 แถลงผลกวาดล้างเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด 9 คน ได้ยาบ้า 291,984 เม็ด อาวุธปืน 14 กระบอก

รรท.ผบช.ภ.7 แถลงผลกวาดล้างเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด 9 คน ได้ยาบ้า 291,984 เม็ด อาวุธปืน 14 กระบอก

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2566 เวลา 14.30 น. พล.ต.ท. นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.สยศ.ตร. รรท.ผบช.ภ.7 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.ดร.จักษ์ จิตตธรรม ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.อ.ธีระเดช อธิภัคกุล รอง ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร, นายพิรุณโรจน์ นาคดนตรี นายอำเภอบ้านแพ้ว, พล.ต.อาทิตย์ ม่วงเล็ก ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทางทหาร, นายทัศน์พงษ์ วัฒนายากร ผอ.ปปส.ภาค 7, ผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ สารวัตรสืบสวน และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร, ตำรวจสืบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร, ตำรวจสืบสวน สภ.บางโทรัด  ตำรวจสืบสวน สภ.บ้านแพ้ว และกองพิสูจน์หลักฐาน ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ได้ของกลางเป็นยาบ้ารวมทั้งสิ้น 291,984 เม็ด และ อาวุธปืนไทยประดิษฐ์อีก 14 กระบอก

สำหรับการจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจาก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางโทรัด ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายอารักษ์ สุพรรณคำ อายุ 41 ปี พร้อมยาบ้า 44 เม็ด และยาไอซ์ น้ำหนัก 1.20 กรัม ได้ที่อู่แห่งหนึ่งในพื้นที่ตำบลชัยมงคลฯ ถูกตั้งข้อหา“จำหน่าย โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า,ยาไอซ์) อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต” ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางโทรัด ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร เพื่อทำการขยายผลสืบสวนจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายเดียวกันได้อีกคือ นายสันติ นพรัตน์ พร้อมยาบ้า 270 เม็ด กับ นายธนภัทร สุดใจ อายุ 20 ปี พร้อมยาบ้า 4,070 เม็ด ถูกตั้งข้อหา “จำหน่าย ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต” และ นายเสมา วรรณรังศรี อายุ 46 ปี, นายณัฐวุฒิ ร้อยอำแพง อายุ 23 ปี กับ นายจตุพร เล็กสาคร อายุ 38 ปี ข้อหา “เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย”

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สมุทรสาคร ยังได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ภ.7 และ เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยข่าวกรองทางทหาร ทภ.1 ขยายผลเพิ่มเติมจนจับกุมผู้ต้องหาได้พร้อมกันอีก 3 คน ขณะกำลังนั่งอยู่ในสวนมะพร้าวแห่งหนึ่ง คือ นาย เนย์ ลิน อู (MR.NEY Lin oo)  อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมา พร้อมยาบ้า 400 เม็ด และ อาวุธปืน ไทยประดิษฐ์ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอกและเครื่องกระสุนปืน 3 นัด ถูกดำเนินคดีในข้อหา “มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน” และ“จำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ในกลุ่มประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”,นายธนเนตร์ ทินดาประเสริฐ อายุ 36 ปี ของกลาง ยาเอ็กซ์ตาซี 5 เม็ด กับ อาวุธปืนไทยประดิษฐ์อีก 13 กระบอก โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ทั้งหมดที่พบนั้น ตนรับปืนมาจากนายตังฯไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง โดยนายตังฯ นำปืนมาฝากตนไว้เพื่อให้ตนหาลูกค้าที่ต้องการซื้อ และได้ตั้งราคาขายไว้กระบอกละ1,500 บาท จึงถูกดำเนินคดีในข้อหา “มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน” และ “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เอกซ์ตาซี) ไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ในกลุ่มประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” ส่วนอีกรายคือ นายวิษณุ แซ่ตัน อายุ 36 ปี ของกลาง ยาบ้าจำนวน 1,400 เม็ด ดำเนินคดีในข้อหา “จำหน่าย และ ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ในกลุ่มประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” นอกจากนี้ยังตรวจค้นยังเจอยาบ้าซุกซ่อนไว้ตรงบริเวณที่ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนพักอาศัย ถูกซุกซ่อนอยู่อีก 285,800 เม็ด ซึ่งนายวิษณุฯ ให้การอ้างว่ายาบ้าทั้งหมดเป็นของนายปลาย ไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุล ได้ใส่กระสอบกับถุงพลาสติกนำมาฝากให้ตนเก็บรักษาไว้ที่บ้านพัก ต่อมาตนรู้สึกกลัวว่าจะถูกจับ จึงนำของทั้งหมดมาวางไว้บริเวณริมขอบคันสวนมะพร้าวและได้นำทางมะพร้าวมาปิดไว้ก่อนจะมาถูกจับในที่สุด ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้นำตัวทั้งหมดไปสอบสวนเพื่อขยายผลและดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

พล.ต.ท. นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.สยศ.ตร. รรท.ผบช.ภ.7 เปิดเผยว่า เรื่องอาวุธปืนที่ตรวจค้นนั้น เป็นไปตามที่ได้รับทราบจากสายข่าวว่ามีการสั่งซื้อแบล็งค์กันในพื้นที่สมุทรสาคร ซึ่งในเรื่องการสั่งซื้อแบล็งค์กันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว อันเนื่องมาจากนำอาวุธแบล็งค์กันมาดัดแปลงแล้วนำไปก่อเหตุจนเป็นอันตรายถึงต่อชีวิตได้ ส่วนการจับกุมครั้งนี้เป็นเครือข่ายยาเสพติดที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามมาอย่างต่อเนื่อง 2 –3 ปี และยังมีแนวโน้มที่จะกระจายยาเสพติดไปในพื้นที่สมุทรสาครและพื้นที่ใกล้เคียงอีก โดยขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข้อมูลสำคัญมาแล้ว ซึ่งก็จะดำเนินการทางกฎหมายพร้อมกับทำการยึดทรัพย์ต่อไป ส่วนมาตรการเข้มนั้น ได้มีการสั่งการให้เข้มข้นในการตรวจจับกุมเชิงรุกแบบปะ ฉะ ดะ ทั้งในกลุ่มคนไทยและแรงงานข้ามชาติ เพื่อนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมาย

Related Articles